บทเรียนชีวิตจาก 1 ปีที่ไม่ได้เดินทาง
1. เสียงตัดสินที่ดังที่สุดในชีวิตคนหนึ่งคนไม่ได้มาจากคนรอบข้าง แต่เป็นเสียงตัดสินในหัวของเราเอง เสียงนี้จะพูดและจะพากย์ชีวิตเราทุกนาทีเลย เป็นเสียงที่ได้ยินตลอดเวลา และเราเชื่อว่าเป็นจริง ‘เรายังไม่ดีพอ’ ‘เราโง่’ ‘เราไม่เก่ง’ ‘เราน่าเกลียด’ ‘ไม่มีใครชอบเราหรอก’ ‘เราห่วย’
สิ่งที่ต้องรู้ คือ เสียงนี้ไม่ใช่ความจริงแท้ มันเป็นแค่เสียงตัดสินจากประสบการณ์บางประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเรา ไม่ต้องเชื่อ ให้สิ่งทีเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเป็นกลางก็พอ
เช่น หัวหน้าบอกว่างานเราห่วย แปลว่างานนี้เราทำห่วย ไม่ได้แปลว่าตัวเราห่วย หรือการที่เรามีนิสัยไม่ค่อยดีบางอย่าง ไม่ได้แปลว่าเราเลวไปหมด หรือการไม่มีพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีคู่ชีวิตแบบที่คิดไว้ ไม่ได้แปลว่าทั้งชีวิตทั้งชีวิตสิ่งที่ทำมาทั้งหมดพัง
เราอาจจะหยุดเสียงตัดสินในหัวเราไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะไม่ฟังได้ :)
“Everything didn't have to be broken just because something was broken. I didn't have to be broken.” - Into The Magic Shop
“การที่บางอย่างหรือบางคนในชีวิตมันพพังๆบ้าง ไม่ได้หมายความทุกอย่างพัง หรือตัวเราพังนี่นา”
จริงๆนะ :)
.
.
.
2. เวลาที่เจอเรื่องเจ็บปวดมากๆ การหนีเพื่อไม่ต้องจัดการหรืออยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นดูจะง่ายกว่า แต่จริงๆมันคือการมีแผลเปิด แต่ไม่ทายารักษา จากแผลที่ต้องทนเจ็บพักเดียว กลายเป็นหนองที่ต้องแบกไว้ตลอดชีวิต แค่สะกิดหน่อยก็เจ็บอีก
การรักษามันพูดง่ายแต่ทำได้ยาก เพราะการยืนอยู่และเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดมันยาก ยิ่งเจ็บมากยิ่งอยู่ได้ยาก และการยอมรับว่า ‘เราเจ็บปวด’ มันยิ่งดูอ่อนแอ
เวลาผิดหวัง ชีวิตไม่เป็นตามแผน อกหัก คนรอบตัวแม้แต่ตัวเราเองยังคอยพูดกับตัวเองว่า ‘ออกไปหาอะไรทำสิ’ ‘ลองออกไปเจอเพื่อนๆ’ ‘ไปช้อปปิ้ง’ จะได้ไม่ต้องคิด จะได้ลืม หรือไม่ก็ ‘อย่าดราม่าได้ไหม ชีวิตแกดีจะตาย’ เรียกว่าไม่มีพื้นที่ให้ความเศร้าเลย
การหนีมันทำได้แค่ชั่วคราว พอเสียงรอบตัวมันเงียบ เสียงความเสียใจมันก็ดังกังวาล...
อันดับแรกของการทำแผลหัวใจ คือ เปิดแผลออก ด้วยการยืนอยู่กับความเจ็บนั้น ให้ความเจ็บมันซึมเข้ามา รู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่ความอ่อนแอ หรือการยอมแพ้ แต่แค่เป็นการยอมรับความเป็นมนุษย์เท่านั้น และเมื่อยืนอยู่กับความเจ็บ และค่อยๆทำความรู้จัก ทำความคุ้นเคย เราก็จะได้รู้ว่าสาเหตุจริงๆคืออะไร และจากความเจ็บครั้งนี้เราจะพัฒนาตัวเองได้ โดยไม่เกิดการโทษว่าเป็นความผิดของใคร
เช่น หลายครั้งการเจ็บที่คิดว่าเกิดจากการสูญเสีย แต่พอได้เข้าใจจริงๆ กลับเป็นเพราะรู้สึกผิด และความผิดนั้นพอมองเข้าไปจริงๆก็ไม่ได้ผิดขนาดนั้น แต่เกิดจากการไม่เข้าใจกัน หรือเป็นเพราะเรากับเขาต่างกัน มองโลกคนละมุม มีปมคนละแบบ ทำให้เกิดกระบวนการการซ่อมแซมจากความเจ็บนั้นและได้เติบโต
ค่อยๆเจ็บบ้างมันดีนะ จะได้รับมือกับความเจ็บใหญ่ๆได้ :)
.
.
.
3. ความสุขมันถูกให้ความสำคัญมากเกินไป ในขณะที่ความทุกข์ก็ถูกละเลยมากเกินไป คนชอบบอกว่าต้องมีความสุขสิ ทำในสิ่งที่มีความสุขสิ ใช้ชีวิตให้มีความสุขสิ ความสุขถูกนำไปผูกกับความสำเร็จ
กลายเป็นว่าเพียงแค่วันนี้ ช่วงนี้ รู้สึกไม่มีความสุข ชีวิตก็กลายเป็นความล้มเหลว
ตัวเองก็คิดแบบนั้นและพยายามมีความสุขมาโดยตลอด เพราะงานก็ดี ครอบครัวก็ดี ทุกอย่างรอบตัวดีหมด มันก็ต้องมีความสุขสิ ถ้าไม่มีความสุข มันคือ เราทำผิดอยู่ ชีวิตเลยเหมือนถูกบังคับให้ต้องรู้สึกมีความสุขอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นการหลอกตัวเอง และพยายามกดความทุกข์ลงไป
วันก่อนได้กลับไปดู Inside Out และได้พบว่า แค่คำว่า “I Just Wanted Riley To Be Happy…" มันนำไปสู่ความโกลาหลอะไรบ้าง :)
สุดท้ายชีวิตที่สมบูรณ์ มันไม่สามารถประกอบขึ้นมาด้วยความสุขอย่างเดียวได้ อารมณ์ความรู้สึกอื่นๆก็จำเป็นพอๆกัน
ถ้าความสุขเหมือนกับการเปิดประตูออกไปหาโลกใบนี้ด้วยรอยยิ้ม ความเศร้าและการยอมอ่อนแอ คงเป็นการเปิดประตูยอมให้คนอื่นเดินเข้ามาเห็นโลกหม่นๆของเรา ยอมให้เขาเข้ามาดูแล ต่างคนต่างก็ไม่โดดเดี่ยว
เชื่อไหมว่าความเศร้าและความอ่อนแอ ทำให้มนุษย์รู้สึกใกล้กันมากขึ้น
.
.
.
4. จริงๆแล้วมนุษย์ทุกคนเหมือนกันมาก มีความต้องการพื้นฐานแบบเดียวกัน คือ ต้องการการยอมรับ ต้องการโอกาส การให้อภัย ความรู้สึกปลอดภัย ความเข้าใจ และต้องการความรัก บางคนรู้ตัว หลายคนปฏิเสธที่จะรู้เลยกลายเป็นคนแข็งกระด้าง
สิ่งที่ให้กันได้ คือ การรับรู้ว่าทุกคนกำลังพยายามเพื่อให้ได้สิ่งเดียวกัน เป็นการเดินทางที่ก็มุ่งไปทางเดียวกัน ไม่มีใครดีสมบูรณ์แบบหรือเลวสมบูรณ์แบบ และหวังว่าการรับรู้นี้ จะทำให้เราเห็นอกเห็นใจและมีเมตตาต่อกันมากขึ้น
นี่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทนนะ เพราะเราก็ต้องมีเมตตากับตัวเองเหมือนกัน
ทุกอย่างที่บอกมา สำหรับมิ้นท์เองมันเป็นการเดินทางที่ยาก ยากมากๆ และตัวเองก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องพยายามต่อไป และในความพยายามก็ต้องมีความเห็นอกเห็นใจ และมีเมตตากับตัวเองเยอะๆด้วย
ค่อยๆเดินไปด้วยกันนะ :)